วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ผญาภาษิต

ผญาภาษิต

                   คือ ผญาที่เป็นคำเตือน  คำแนะนำสั่งสอน  ให้ประชาชนโดยทั่วไป ประพฤติปฏิบัติตนไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม  ผญาชนิดนี้  บางทีเรียกกันว่า ผญาก้อม (ผญาสั้น)หรือโตงโตย เนื้อหาอาจจะแบ่งออกได้เป็น      ประการใหญ่ ๆ คือ

.   เนื้อหาของผญาภาษิตที่ได้แนวความคิดมาจากพุทธศาสนา
                   ศาสนามีความสัมพันธ์กับชาวพื้นถิ่นอีสานเป็นอย่างมากในฐานะที่เป็นหลักยึดถือทางจิตใจ  ทำให้ผู้คนในสังคมมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข           เมื่อพิจารณาถึงกรณีนี้ก็อาจประเมินได้ว่า ศาสนา คือ ข้อกำหนดอย่างหนึ่ง  ซึ่งสามารถใช้ควบคุมสังคมให้อยู่ในภาวะสงบสุขได้  แต่ศาสนามิได้มีผลบังคับใช้กับผู้คนในสังคมอย่างตรงรูปเพียงอย่างเดียว
                         ชาวพื้นถิ่นยังฉลาดที่จะประยุกต์ศาสนาไปบังคับใช้กับผู้คนร่วมสังคมในรูปอื่น ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ  ในรูปของผญาภาษิต  ดังนั้น เนื้อหาของผญาภาษิตที่ได้แนวความคิดมาจากพุทธศาสนาจึงมีอยู่มากหลาย ดังตัวอย่าง เช่น
                         บุญมีแล้วแนวดีป้องใส่  บุญบ่ได้แนวขี้อ้ายแล่นโฮม
                         (เมื่อมีบุญจะประสบแต่ความงดงาม  ครั้งหมดบุญก็จะประสบแต่ความเลวร้าย)
                         บุญบาปนี้เป็นคู่คือเงา  เงานั้นไปตามเฮาซูวันบ่มีเว้น
                         (บุญบาปนี้เปรียบเสมือนเงาที่ติดตามตัวเราไปไม่มีเว้น)
                         ยามยากคิดเถิงนาย  ยามตายคิดเถิงพระ
                         (คิดเถิง = คิดถึง)

.   เนื้อหาของผญาภาษิตที่กล่าวถึงวัตรปฏิบัติที่เหมาะสม
                  ลักษณะของผญาภาษิตแบบนี้  มักเป็นการห้ามประพฤติในสิ่งที่ไม่ดีงาม  ไม่ถูกครรลองคลองธรรม หรือไม่ก็เป็นการยุให้ประพฤติในสิ่งที่ดีงามที่จะเกิดคุณประโยชน์                ทั้งกับตนเองและบุคคลร่วมสังคม
                        ข้อห้ามมิให้กระทำและข้อสนับสนุนให้กระทำพฤติกรรมต่าง ๆ     ดังที่ปรากฎในบท
ผญาภาษิตนี้  โดยปกติจะมีต้นเค้าความเป็นจริงมาก่อน  ก่อนที่จะได้รับการตราเป็นบทผญาภาษิตที่จะกล่าวรวมถึงแนวทางการประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสม  และไปมีบทบาทในการควบคุมสังคมได้ในอีกขั้นตอนหนึ่งดังตัวอย่าง เช่น
                        หญิงใดสมบูรณ์ด้วยเฮือนสามน้ำสี่  เป็นหญิงที่เลิศล้ำสมควรแท้แน่เฮือน
                        ไปหาพระเอาของไปถวาย  ไปหานายเอาของไปต้อน
                        (ต้อน = ฝาก)
                    อย่าได้กดเขาย้องยอโตผิดฮีต  อย่าได้หวีดหวีดเว้าประสงค์ขึ้นข่มเขา
                        (อย่ากดคนอื่นแล้วยกตนเองมันผิดจารีต  อย่าได้พูดเพื่อมีเจตนาข่มคนอื่น)

.  เนื้อหาของผญาภาษิตที่ได้อิทธิพลมาจากวรรณกรรม
เนื้อหาของผญาภาษิตในลักษณะนี้  จะเป็นการนำเอาตัวละคร  หรือเรื่องราวใน
วรรณกรรมทั้งวรรณกรรมของภาคกลางและวรรณกรรมของภาคอีสานมากล่าวเปรียบเทียบให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจถึงข้อภาษานั้นๆ ได้แจ่มชัดขึ้น  ซึ่งช่วยให้ง่ายต่อการเข้าใจของชาวพื้นถิ่นดังตัวอย่าง เช่น
                        เงาะฮูปฮ้ายยังได้กล่อมรจนา  ยังได้เป็นราชาซ่าลือทั้งค่าย
                        (ซ่าลือ = เลื่องลือ, ปรากฏ  ทั้งค่าย = ทั้งหมด)
                        ศิลป์ไชยท้าวตกไกลแสนยาก  ยังได้บั่นบากกลับต่าวขึ้นเป็นเจ้านั่งเมือง
                        (ต่าว  =  กลับ)
                      พระเวสสันดรเจ้านงนาถมะที  ยังได้หนีพาราจากนคร  ไปอยู่ดงดอนไพรสณฑ์  ต้อง
            ทุกข์ทนบ่เคยพ้อเคยเห็น
            (มะที  =  มัทรี  พ้อ = พบ)

.  เนื้อหาของผญาภาษิตที่กล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับวัฒนธรรมวัตถุของชาวพื้นถิ่นอีสาน
                  ผญาภาษิตที่มีเนื้อหาเช่นนี้จะมีเป็นจำนวนมากที่สุด  มีทั้งที่เป็นการกล่าวถึงวัฒนธรรมวัตถุนั้นด้วยถ้อยภาษาตรง ๆ เช่น
         มีเฮือนบ่มีคร่าวสิเอากลอนไปพาดไสนอ  มีคร่าวบ่มีตอกผูกไว้สิไปมั่นบ่อนใด
            (เรือนไม่มีคร่าวจะเอากลอนไปพาดไว้ทางไหน  และเมื่อมีคร่าวแล้ว  แต่ไม่มีตอกผูก
มันจะมั่นคงได้อย่างไร)
                        คันได้อยู่ยอดฟ้าผาสาทประดับมุก  อย่าได้สืมคนทุกข์ผู้ขีควายคอนกล้า
                        (ผาสาท =  ปราสาท  คอนกล้า = แบกกล้า)
                        การกล่าวถึงวัฒนธรรมวัตถุในผญาภาษิตจะเป็นสิ่งบ่งบอกให้ทราบว่า   ในสังคมนั้นมีวัฒนธรรมวัตถุอะไรบ้าง  เพราะวัฒนธรรมวัตถุที่ปรากฎในผญาภาษิตนั้น  ย่อมเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างแท้จริงในสังคม
                        กวีชาวพื้นถิ่นจึงได้ดึงวัฒนธรรมวัตถุนั้นไปกล่าวถึงในบทผญา  เป็นการรายงานถึงการมีอยู่ของวัฒนธรรมวัตถุของสังคมไปในตัว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น