วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สังข์สินไช

ณ เมืองใหญ่อันเจริญรุ่งเรื่องชื่อ เป็งจาน มีพระราชาชื่อท้าวกุดสะราด มีน้องสาวชื่อนางสุมนทาที่พระองค์รักและหวงมาก  มเหสีชื่อนางจันทา  กล่าวถึงท้าวเวสสุวรรณเป็นเป็นจอมยักษ์ ได้อาญาสิทธิ์ให้ยักษ์ชื่อท้าวกุมภัณฑ์เป็นผู้ปกครองผี ยักษ์ และมารทั้งหลายในโลก มีฤทธิ์เดชครบถ้วนทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นโสด ให้ปกครองเมืองอโนราช  คิดอยากมีภรรยา ท้าวเวสสุวรรณจึงบอกว่าเนื้อคู่ชื่อนางสุมนทา แต่ขอให้ตัดใจเสียเพราะเป็นคนละเผ่าพันธุ์ แต่ท้าวกุมภัณฑ์กลับขี่ยานจักรแก้วไปหา ซ่อนตัวอยู่ในอุทยาน  ฝ่ายท้าวกุดสะราด ฝันว่ามีคนมาฟันแขนขวาขาดพร้อมทั้งผ่าอกจึงสะดุ้งตื่นมา โหรทำนายว่าจะมีคนต่างแดนมาแย่งญาติไป เมื่อพ้นเคราะห์แล้วจึงจะประสบโชคดี
                นางสุมนทาพร้อมบริวารอออกประพาสสวน ท้าวกุมภัณฑ์จึงอุ้มเอานางเหาะขึ้นพากลับไปเมือง อโนราช  จนนางยอมเป็นมเหสีด้วยความสมัครใจมีธิดาด้วยกัน คือ        นางสีดาจัน  เมื่อเติบโตขึ้น พญานาควรุณแห่งนาคพิภพมาขอไปเป็นมเหสี  
                กล่าวถึงท้าวกุดสะราด ผ่านไปสามเดือนยังคิดถึงน้องสาว จึงออกบวชและติดตามหาผ่านไปเจ็ดปี เดินทางถึงเมืองจำปา มีเจ้าเมืองชื่อกามะทา ที่นี่ได้ทราบข่าวน้องสาวว่าถูกยักษ์กุมภันฑ์ลักพาตัวไป เช้าวันหนึ่งไปบิณฑบาตหน้าบ้านเศรษฐีชื่อนันทะ มีลูกสาว  ๗ คน รู้สึกชอบจึงกลับเมืองเป็งจาน        ลาสิกขาบทออกมาแล้วมาสู่ขอนางทั้งเจ็ดไปเป็นมเหสี  ต่อมามเหสีทั้ง ๘ คนของท้าวกุดสะราดได้อธิษฐานขอลูก โอรสของพระอินทร์ได้อาสาลงมา สู่ครรภ์นางจันทาหนึ่งองค์ และอีกสององค์พร้อมกันลงมาสู่ครรภ์นางลุนซึ่งเป็นน้องคนสาวคนสุดท้ายของนางทั้งเจ็ด โหรจึงทำนายว่าผู้มีบุญมาเกิดในครรภ์ของนางจันทากับนางลุนส่วนอีกหกนางจะเป็นคนไม่ดีมาเกิด ทำให้นางทั้งหกไม่สบายใจ ต่อมามีหญิงร้อยเล่ห์เข้ามาหาและตีสนิทจนนางปทุมมาผู้พี่คนโตของนางทั้งเจ็ดไว้ใจ หญิงนั้นทำยาเสน่ห์ให้ท้าวกุดสะราดหลงใหลนางทั้งหกพร้อมทั้งให้สินบนโหรให้กลับคำทำนายใหม่  พอครบกำหนดนางทั้งแปดก็คลอดลูกออกมา ลูกของนางลุนนั้นคนแรกคลอดแกมาเป็นหอยสังข์ คนที่สองเป็นมนุษย์ถือดาบและศรศิลป์ออกมาด้วย ส่วนนางจันทาได้ลูกออกมาเป็นครึ่งล่างเป็นราชสีห์ส่วนหัวเป็นช้าง
รวมเรียกว่าคชสีห์   
                ท้าวกุดสะราดเห็นว่า มีความผิดตามคำโหรจึงเนรเทศลูกออกนอกเมือง นางจันทา นางลุนพร้อมลูกสามคนรวมกันเป็นห้าคนจึงเดินทางออกจากเมืองไป เดินทางไปตามป่าได้ราวหนึ่งเดือนไปพบกับปราสาทอยู่กลางป่าซึ่งพระอินทร์มาสร้างไว้ให้พักอาศัย ทั้งหมดจึงอาศัยในปราสาทนี้ โดยพระอินทร์เขียนชื่อไว้ว่า ลูกของนางจันทาชื่อ สีหราชหรือสีโห  ส่วนลูกของนางลุนนั้นคนแรกชื่อสังข์ คนที่สองชื่อ สินไซ (ศิลป์ชัย) ดังข้อความที่ว่า
                ทั้งสามองค์เจริญเติบโตขึ้นด้วยความรักสามัคคีกัน     วันหนึ่งสินไซได้ขอธนูศิลป์หรือศร  กับดาบหรือตาว จากแม่ของตน เมื่อนางจันทามอบให้แล้วสินไซก็แสดงการใช้ดาบและศรได้อย่างคล่องแคล่ว     สินไซ ยิงธนูไปตกถึงหน้าพญาครุฑในนครฉิมพลี พญาครุฑจึงนำไพรพลทั้งหลายมาถวายเครื่องบรรณาการพร้อมให้การอารักขา จากนั้นสินไซยิงธนูไปตกที่หน้าของพญานาค พญานาคก็นำไพร่พลมาถวายเครื่องบรรณนาการและเฝ้าอารักขา  โดยครุฑอารักขากลางวัน ส่วนนาคอารักขากลางคืน ทั้งสามเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มที่มีฤทธิ์มาก  ฝ่ายท้าวกุดสะราด สั่งให้ลูกชายที่เกิดจากนางทั้งหก ออกเดินทางไปเรียนวิชาต่างๆเพื่อที่จะเป็นวิชาติดตัวใช้สำหรับติดตามนางสุมนทา โอรสทั้งหกก็ออกเดินทางไปในป่าจนกระทั่งไปพบกับสีโหสังข์สินไซ เมื่อสอบถามก็รู้ว่าเป็นพี่ จึงหลอกว่าท้าวกุดสะราดคิดถึงอยู่ตลอดมาจึงให้ออกมาตามหาและถามข่าวว่ายังอยู่ดีสบายหรือไม่ บัดนี้จะกลับไปกราบทูลให้ทราบ และเพื่อเป็นการยืนยันว่าอยู่ดีมีวิชามากจึงขอให้เรียกให้สัตว์น้อยใหญ่ในป่าติดตามไปในอีกหนึ่งวันข้างหน้า จากนั้นทั้งหกองค์จึงกลับไปทูลพระบิดาว่าเรียนวิชาจบแล้ว ถ้าไม่เชื่อจะใช้มนต์เรียกสัตว์ให้ดู วันต่อมาก็มีสัตว์มีพิษในป่าเข้าไปในเมืองเต็มไปหมดแต่ไม่ทำอันตรายใคร ท้าวกุดสะราดก็ดีใจว่าลูกมีความสามารถแล้วจึงสั่งให้ออกติดตามนางสุมนทาแล้วพากลับมาบ้านเมือง ทั้งหกองค์ก็เดินทางไปพบพี่ๆในป่าแล้วบอกว่าท้าวกุดสะราดเชื่อแล้ว และให้ออกเดินทางไปตามหาน้าสุมนทาด้วยกัน ถ้าทำสำเร็จจะยกบ้านเมืองให้ปกครองครึ่งหนึ่ง  สีโหสังข์สินไซมีความกตัญญูคิดตอบแทนบิดาจึงรับปากจะไปด้วย แต่นางจันทากับนางลุนไม่เชื่อพยายามห้ามปรามแต่ก็ขัดไม่ได้ในที่สุดก็สั่งสอนว่าให้ระวังเพราะในป่ามีอันตรายมาก ศรศิลป์พระขรรค์ต้องกระชับในมือตลอดเวลา เมื่อได้พบน้าสุมนทาก็อย่าไว้ใจมากนักเพราะอาจติดนิสัยยักษ์มาบ้าง สินไซจงดูแลอย่าทอดทิ้งกัน และสุดท้ายอย่าไว้ใจท้าวทั้งหกนี้ จากนั้นจึงอำลาแม่แล้วออกเดินทาง จนกระทั่งได้พบกับด่านต่างๆดังนี้  
                ด่านแรกคือด่านงูซวง คืองูใหญ่ มีความยาวเท่ากับเชือกล่ามวัวร้อยตัว มีตาสีแดง พ่นพิษออกมาเป็นไฟ ท้าวทั้งหกกลัวขอกลับ แต่สินไซฟันงูขาดเป็นท่อน แล้วเดินทางต่อไป จนกระทั่งถึงแม่น้ำสายที่หนึ่งใหญ่ กว้างหนึ่งโยชน์ ท้าวทั้งหกชวนกลับและบอกว่าพ่อคงไม่เอาโทษอะไร แต่สังข์ออกเดินทางไปก่อน สินไซออกตามไปโดยให้สีโหอยู่เฝ้าน้องทั้งหก  สังข์แปลงกายเป็นเรือให้สินไซขี่ข้ามแม่น้ำไปได้จนถึงภูเขาและพบกับด่านที่สอง คือด่านยักษ์กันดารหรือด่านวรุณยักษ์ เป็นด่านที่อัตคัดลำบากไม่สะดวกสบายขาดแคลน เป็นยักษ์ดุร้ายจึงฟันคอยักษ์ขาดตายไป สินไซก็ตามรอยหอยสังข์ที่ล่วงหน้าไปก่อนจนพบแม่น้ำสายที่สอง กว้างสองโยชน์ สังข์แปลงกายเป็นเรือให้สินไซขี่ข้ามไปได้อีก ระหว่างทางสินไซระลึกถึงพระคุณแม่อยู่ตลอด จนกระทั่งพบด่านที่สามคือด่านช้างหลายแสนตัว มีพระยาฉัททันต์เป็นหัวหน้า มันโกรธตาแดงขู่ว่าจะฆ่าสินไซ สินไซใช้ศรยิงล้มลงระเนระนาด มันยอมบอกว่าเคยเห็นยักษ์อุ้มนางสุมนทาเหาะผ่านไป ขออโหสิกรรม และยอมให้ขี่คอพาไปส่งจนสุดแขตแดน สินไซสอนให้ช้างอย่าทำร้ายเบียดเบียนคนอื่น  จากนั้นก็เดินทางต่อไปจนพบแม่น้ำสายที่สาม กว้างสามโยชน์ สินไซก็ขี่สังข์จนพ้นข้ามไปได้และพบกับด่านที่สี่คือ ด่านยักษ์สี่ตนได้แก่ กันดานยักษ์ จิตตยักษ์ ไชยยักษ์ และวิไชยยักษ์ ได้สู้รบกันสินไซปราบยักษ์เสร็จแล้วเดินทางต่อไปตามรอยหอยสังข์ จนพบกับแม่น้ำสายที่สี่ที่กว้างสี่โยชน์   สังข์พาสินไซข้ามไปได้ แล้วรีบเร่งเดินไปถึงภูเขาใหญ่ดำทะมึนมีบ่อแก้ว บ่อเพชรเป็นน้ำเพชรไหลออกมามีสีสันแวววาวระยิบระยับ เห็นวิมานของพญาธร ถ้ำเพชร เห็นต้นนิโครธ เดินทางผ่านภูเขาเป็นหมื่นๆจนเข้าเขตยักษ์ขินีเป็นด่านที่ห้า คือด่านยักษ์ขินี เป็นหญิงอายุมากกว่าสินไซ พอเห็นสินไซก็เกิดกามราคะกำหนัดจึงเนรมิตศาลาที่พักอาหารการกินพร้อมบริบูรณ์รอรับแปลงกายเป็นหญิงสวยดั่งนางฟ้า เชิญชวนให้สินไซพักผ่อนบอกว่าเป็นธิดาเจ้าเมืองหลงมาอยู่ในป่าขอเป็นคู่ แม้เพียงได้หลับนอนด้วยก็ดี สินไซเดินหนีไปมันจึงวิ่งตามว่าถ้ามีเมียแล้วขอเป็นเมียน้อยก็ได้ ตอนแรกสินไซก็นึกเอ็นดูว่าน่ารักแต่พอพิจารณาดูเห็นแววตากระด้างก็รู้ว่าไม่ใช่คนจึงรีบเดินหนี มันเดินตามเจรจาต่อรองต่างๆไปจนสุดเขตแดน เขตแม่น้ำ เมื่อเห็นว่าไม่ทันมันจึงตะโกนด่าว่าอย่างหยาบคาย หากสินไซขาดสติคงแย่แน่นอน  เดินทางจนพบแม่น้ำสายที่ห้า กว้างห้าโยชน์มีฟองเป็นสีขาว รีบขึ้นขี่หอยสังข์ไประว่างนั้นคิดถึงแม่และป้า จนผ่านเข้าเขตด่านที่หกคือ ด่านนารีผล  เป็นรมณียสถานที่หมู่พระสงฆ์หรือสมณะ ดาบส ฤๅษี วิทยาธร มาเที่ยวเล่น เป็นต้นไม้มีดอกสีส้มเป็นหญิงสาวสวยงาม ศีรษะติดกับขั้วร่างเปลือยหย่อนลงมาถึงพื้น สินไซเที่ยวชมไม่นานก็มีวิทยาธรมาแย่งไป เกิดการแย่งกันหลายกลุ่ม สินไซรบชนะวิทยาธรแล้ว ก็เดินทางต่อไปจนพบกับแม่น้ำสายที่หก กว้างหกโยชน์ จึงลงเรือสังข์ข้ามต่อไป จนขึ้นสู่ดินแดนยักษ์เป็นด่านที่เจ็ดชื่อด่านยักษ์อัสสมุขี อยู่ภูเขาชื่อเวละบาดหรือเวรระบาด นางยักษ์ผีเสื้อชื่ออัสสมุขีมีหน้าเหมือนสุนัข รีบมาอุ้มเอาสินไซวิ่งไป สินไซถามว่าจะพาอุ้มไปไหน นางก็ตอบว่าจะเอาไปทำผัว สินไซอ้อนวอนให้ปล่อยก็ไม่ปล่อยจึงใช้พระขรรค์ตัดคอยักษ์ตายไป  บนภูเขานี้มีต้นกาลพฤกษ์มีดอกเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ดั่งเครื่องทรงของเทพ สินไซจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ที่นี่มีบ่อแก้วบ่อเพชรเต็มไปด้วยเพชรนิงจินดา น้ำใสสะอาด สินไซพักหนึ่งราตรีแล้วเดินทางต่อไป จนพบด่านที่แปดคือด่านเทพกินรี ที่ผาจวงถ้ำแอ่น หมู่กินรีร่างเป็นคนมีปีกมีหางเหาะเหินได้ เหมือนนก เป็นหมู่ธิดาของเทพ ที่นี่สินไซได้พบนางเจียงคำ (เจียงแปลว่า แรก ต้น หนึ่ง) จึงได้นางเป็นเมีย  พระบาทท้าวฮักฮูปเจียงคำ  สองชมสองช่างออยอำอิ้ง  ดูดัง อันประสงค์ได้ โดยคะนิงลุลาภ แก้วแก่นไท้ซมซ้อนอิ่มเสนห์สินไซลานางเดินทางต่อไป นางเกียงคำให้กินรีบริวารอยู่รับใช้ห้าร้อยนาง สินไซจึงสนุกสนานอยู่อีกเจ็ดวัน ทำให้สังข์ต้องรอนานถึงแปดวัน  เมื่อพบกันแล้วจึงปรึกษากันว่าให้สังข์ล่วงหน้าไปหาเบาะแสในเมืองอโนราชของยักษ์ก่อน ส่วนสินไซนอนรออยู่นอกเมือง สินไซนอนหลับไปฝันเห็นเรื่องราวต่างๆ  สังข์กลับมาบอกว่าทราบว่านางสุมนทาอยู่วังไหน ทั้งสองจึงเดินทางไปด้วยกันเข้าสู่เมืองอโนราชจนถึงด่านที่เก้าคือด่านยักษ์กุมภัณฑ์ เป็นด่านสุดท้ายของการผจญภัย ในเมืองนี้มีสงครามสองครั้ง  
                ก่อนวันที่สินไซจะเข้ามา คืนก่อนนั้นยักษ์หลับฝันละเมอจนนางสุมนทาปลุกให้ตื่น และต้องออกไปหาอาหาร สั่งให้สุมนทาอยู่แต่ในปรางค์เท่านั้น สินไซแอบเข้าไปสู่ปราสาท ทำทีเป็นพูดเกี้ยวพาราสี สุมนทารู้ว่าเป็นเสียงเด็กจึงไต่ถามจนทราบ แต่ไม่เปิดประตู สินไซจึงพังประตูเข้าไป นางสุมนทาไม่ยอมกลับ บอกให้สินไซกลับไปบอกพ่อว่าตามหาไม่เจอ  สินไซเสียใจที่พ่อรักน้อง แต่สุมนทามารักสมียักษ์มากกว่า สุมนทาบอกว่าไม่อยากพลัดพราก ต้องกตัญญูต่อสามี  สุมนทาทราบว่าหลานมีวิชาเก่งกล้าจึงยอมแต่ขอให้สามีกลับมาก่อน สินไซไม่ยอม สุมนทาให้สินไซกลับก่อน  ตนจะให้สามีพาไปส่ง สินไซแผลงศรขึ้นฟ้าข่มอำนาจยักษ์ทั้งหลาย จนยักษ์กุมภัณฑ์หมดแรง ซมซานกลับมา สังข์บอกให้สินไซแอบหลบในกองไม้ ยักษ์มาถึงหมดแรงขึ้นปราสาทไม่ได้แต่ได้กลิ่นมนุษย์ สุมนทาบอกว่ากลิ่นของตนแล้วพากลับขึ้นไปกล่อมนอนซึ่งอีกเจ็ดวันจึงจะตื่น  สินไซชวนอากลับ สุมนทาทำอิดเอื้อนต่อรองไปเรื่อยๆ จนสินไซบังคับ นางก็ต่อรองพอลงจากปรางค์ก็บอกว่าลืมผ้าสไบ กลับขึ้นไปปลุกยักษ์ให้ตื่น สินไซไปพาออกมา  ครั้งที่สองมาถึงครัวบอกว่าลืมปิ่นปักผม  ครั้งที่สามถึงประตูเมืองบอกว่าลืมซ้องแซมผม สินไซไปตามกลับมาจนพาออกพ้นเมือง แล้วพาไปซ่อนในถ้ำ จากนั้นกลับไปเมืองอโนราชเพื่อปราบยักษ์ได้ยินเสียงกรนจึงเข้าไปตัดคอขาดกระเด็น จากนั้นก็ฟันร่างแยกออกเป็นสองท่อน แต่ร่างยักษ์กลับกลายเป็นเจ็ดร่าง พอฟันอีกกลับกลายเป็นสี่สิบเก้าร่าง เป็นเท่าทวีคูณเช่นนี้จนเป็นแสนเป็นล้านร่าง แต่ยิ่งรบยิ่งตาย ท้าวกุมภัณฑ์จึงขอพักรบชั่วคราว สินไซจึงยิงศรไปแจ้งให้สีโหทราบ สีโหจึงรีบเดินทางมาช่วยร่วมรบ ยักษ์กุมภัณฑ์นำทัพออกตามไปรบกับสินไซโดยมีกองทัพจำนวนมาก ยักษ์แปลงเป็นไก่มาอุ้มเอานางสุมนทาไปได้ สินไซยิงศรถูกไก่ตายหมดเหลือแต่ไก่กุมภัณฑ์อุ้มไปพร้อมกับให้ยักษ์หมื่นตนมาขวาง สีโหจึงร้องหรือเปล่งสีหนาทจนแก้วหูยักษ์แตกตาย ได้นางสุมนทาคืน  ก่อนกลับ นางสุมนทาขอร้องให้ตามไปรับนางสีดาจันธิดาของตน ที่อยู่กับวรุณนาคเมืองบาดาล  พระอินทร์จึงสร้างปราสาทชั่วคราวให้พัก  สีโหกลับไปเฝ้าท้าวทั้งหก ส่วนสังข์กับสินไซเดินทางไปเมืองพญานาคท้าพนันเล่นสกากัน สินไซชนะแต่พญานาคไม่ทำตามสัญญา รบกันสินไซยิงศรไปให้ครุฑมาช่วย นาคยอมแพ้ สินไซจึงสั่งสอนแนวทางปกครองบ้านเมือง (14 ประการ) แล้วพานางธิดาจันกลับขึ้นมาพบแม่สุมนทา แล้วมอบหมายให้ท้าว วันนุรา (แปลว่าหัวใจของเผ่าพันธุ์) ให้ครองเมืองอโนราช พร้อมกับสั่งสอนแนวทางปกครองให้แก่ท้าววันนุรา (15 ประการ) แล้วพากันเดินทางกลับไปถึงที่พักของสีโหกับท้าวทั้งหก  สังข์กับสีโหเดินทางไปพบแม่ที่ปราสาทกลางป่า ส่วนสินไซ สุมนทา สีดาจันเดินทางจะกลับเมืองเป็งจาลพร้อมท้าวทั้งหก พอมาถึงน้ำตก ท้าวทั้งหกผลักสินไซตกเหว นางสุมนทาไม่เชื่อจึงเอาสิ่งของสามอย่างคือปิ่นปักผม ซ้องประดับผมและผ้าสไบซ่อนไว้ที่หน้าผาพร้อมกับอธิษฐานว่าถ้าสินไซไม่ตายขอให้ได้ของสิ่งเหล่านี้กลับคืน  จากนั้นเดินทางกลับไปถึงเมือง ส่วนสินไซ พระอินทร์มาอุ้มขึ้นจากน้ำ รดด้วยน้ำเต้าแก้วแล้วพาไปส่งที่ปราสาทในป่า จึงได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งทั้งสังข์ สีโห สินไซ และแม่จันทา นางลุน   ส่วนท้าวกุดสะราดดีใจมาก ต้อนรับคณะอย่างยิ่งใหญ่ ท้าวทั้งหกเล่าเรื่องราวการผจญภัยให้บิดาฟังพร้อมกับบอกว่าอย่าเชื่อนางสุมนทาเพราะอาจจะยังติดไอยักษ์อยู่  ส่วนนางสุมนทาก็เล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมกับบอกคำอธิษฐาน ท้าวกุดสะราดไม่ทราบจะเชื่อใคร  พระอินทร์ดลใจให้พวกเรือสำเภาเก็บของสามสิ่งไปให้ท้าวกุดสะราด เรื่องทั้งหมดจึงชัดเจนขึ้น  ท้าวกุดสะราดสั่งให้จับท้าวทั้งหก แม่ทั้งหก หมอโหร หมอเสน่ห์ ไปคุมขัง   จากนั้นจึงเสด็จเชิญนางจันทา นางลุนพร้อมโอรสกลับวัง มีการตัดพ้อต่อว่ากันจนเสียใจระทมใจจนสลบไปกันทั้งป่า สินไซจึงเชิญพระอินทร์นำน้ำเต้าแก้วมารดให้ฟื้น ในที่สุดสินไซก็ยอมรับที่จะครองเมืองเพื่อสร้างบารมีโพธิญาณ สินไซได้สั่งสอนให้สัตว์ทั้งหลายเลิกเบียดเบียนกัน แล้วทั้งหมดเดินทางกลับเข้าเมืองเฉลิมฉลอง ได้พระนามใหม่                
                สินไซครองเมืองไปขอนางเจียงคำมาเป็นมเหสีต่อมาได้นามว่านางศรีสุพรรณ   เมืองอุดรกุรุทวีป เมืองอมรโคยาน ต่างส่งราชธิดามาให้เป็นคู่ครองของสินไซ ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข พืชภัณฑ์อาหารอุดมสมบูรณ์ สัตว์ที่เคยเป็นศัตรูกันก็เลิกเป็นศัตรู นาคไม่ข่มเหงครุฑ พังพอนไม่สู้กับงู งูไม่กินกบเขียด  แมวไม่กินหนู ทุกสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ต่างคนต่างอยู่ ประชาชนและสัตว์ต่างอยู่สงบมีศีลธรรม
                ท้าววรุณนาคกลับเมืองนาคแล้ว คิดถึงสีดาจันมากจนป่วย ชาวเมืองจึงลงความเห็นให้มาขอนางสีดาจันคืนไปเป็นมเหสี สินไซอนุญาต สีดาจันกลับไปครองเมืองกับวรุณนาคอย่างมีความสุข
                เรื่องราวฉบับของท้าวปางคำจบลง โดยบอกว่าสินไซคือพระพุทธองค์ ท้าวทั้งหกคือเทวทัต สีโหคือพระโมคคัลลาน์ ยักษ์กุมภัณฑ์คือพญามารที่ขี่ช้างมารบกวนพระพุทธองค์นั่นเอง เรื่องราวจบลงเพียงเท่านี้  ดังว่า อันว่าปางคำเจ้า ทรงยานเขียนฮูป  ยกแยงถ้วน ถวายไว้แว่นแยง แท้แล้ว ฯ  บัดนี้นาคสะดุ้ง  กิ้งก่อมใสสนิท เป็นปะริโยสาน พิบบอระบวนแล้ว ยุติไว้พญาคำนาคเครื่อง  แล้วท่อนี้ถวายไว้ที่ควร ก่อนแล้ว  มีผู้แต่งต่อ
                กล่าวถึงท้าวเวสสุวรรณ เวลาผ่านไปเจ็ดปี ไม่เห็นยักษ์กุมภันฑ์ไปส่งบรรณาการ จึงลงมาถามตรวจดูพบว่าวันนุราครองเมืองอยู่และเล่าเรื่องราวให้ฟัง ท้าวเวสสุวรรณจึงรดน้ำชุบชีวิตยักษ์กุมภัณฑ์คืนมาแล้วสั่งสอนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ยักษ์ไม่เชื่อเหาะไปแปลงเป็นแมลงวันเขียวอุ้มเอานางสุมนทาและเอาสินไซไปขังไว้ในคอกเหล็กจะต้มกิน  สีโหและสังข์ทราบจึงตามไปช่วย สีโหแปลงเป็นยักษ์เข้าไปปะปนกับทหาร สังข์แปลงกายเป็นเขียดอีโม้ไปอยู่ในถังน้ำนางยักษ์ที่ตักไปจะต้มสินไซ และลงไปในกระทะ ขณะที่น้ำกำลังร้อนจึงทำให้กระทะคว่ำ หมู่ยักษ์กระโดดหนี สีโหได้โอกาส จึงยื่นดาบและศรให้สินไซในกรง สินไซใช้ตัดออกมาได้แล้วต่อสู้กับยักษ์เป็นสงครามใหญ่  (โครงเรื่องข้างบนนี้คล้ายเรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกไมยราพ ตอนพระรามถูกอุ้มไปขังไว้ในดงตาล นางพิรากวนไปตักน้ำมาจะต้ม  หนุมานแปลงกายแฝงเข้าไปช่วย)  สินไซไม่อยากรบขอเจรจายุติศึกเพราะไม่ได้โกรธแค้นใคร ยักษ์ยิ่งโกรธยกภูเขาขว้างใส่ สินไซแผลงศรไป สังข์กระโดดกัดยักษ์ สีโหคำรามก้องเสียงดังไปถึงชั้นพรหม ยักษ์ยิ่งตายมากยิ่งเกิดใหม่มาก  พระอินทร์ต้องลงมาเรียกทั้งสองฝ่ายมาเจรจาโดยใช้หลักการแบบเจ้าโคตร คือ หนึ่งไม่ชี้ว่าฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก   สอง ทุกชีวิตก็รักชีวิตตน ดังนั้นไม่ควรเบียดเบียนชีวิตอื่น ให้ระงับการจองเวร อย่าใช้ความเก่งกล้าสามารถไปก่อเวร และสาม ควรประนีประนอมสมานฉันท์ เพราะทุกฝ่ายล้วนเป็นญาติพี่น้องกัน ให้รักษาความเป็นญาติพี่น้องต่อไป รักษาประเพณีอันดีงามนี้ต่อไป  ทั้งสองฝ่ายตกลงตามนี้ จากนั้น ยักษ์กุมภัณฑ์ก็กลับเมืองพร้อมกับนำทรัพย์สินเงินทองมาสู่ขอนางสุมนทาตามประเพณี ท้าวกุดสะราดยกให้แล้วทั้งสองนครก็จะมีความสุขสงบต่อไป ก่อนแยกย้ายกันกลับเมืองสินไซได้ประทานโอวาทเรื่องทศพิธราชธรรมแก่นักปกครองทั้งหลาย     ต่อมาสีโห ขอลาไปอยู่ป่าตามธรรมชาติของตน  นางอุดรกุรุทวีปได้โอรสชื่อว่าสังขราชกุมาร ส่วนนางศรีสุพรรณได้ลูกสาวชื่อ สุรสา  ต่อมาทั้งคู่ได้อภิเษกสมรส ครองเมืองต่อจากสินไซ นครเป็งจา จึงร่มเย็นเป็นสุขสืบไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น